ในโลกของธุรกิจที่การแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในประเทศ และเต็มไปด้วยสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายนานัปการ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการซัพพลายเชนที่ต้องแม่นยำ และมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ด้วยเหตุนี้ทุกธุรกิจจึงให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยงในซัพพลายเชน เพื่อให้การผลิตสินค้า การจัดส่งสินค้า รวมถึงการบริหารองค์รวมของธุรกิจเป็นไปตามกำหนดเวลาและตามความต้องการของลูกค้า End-to-End Supply Chain Solutions จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการให้ทุกกระบวนการตั้งแต่การผลิตจนสินค้าส่งมอบถึงมือผู้บริโภคเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ความท้าทายและรูปแบบความเสี่ยงในซัพพลายเชนที่ธุรกิจต้องตระหนักและหาทางป้องกันก่อนเจอวิกฤต
ในการดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศ ซัพพลายเชนมีความสำคัญและมีความเสี่ยงที่ต้องตระหนักในหลายมิติ เพื่อให้สามารถรับมือเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรืออุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังต่อไปนี้
1. ความเสี่ยงระดับโลก (Global Risks)
เป็นความเสี่ยงจากความไม่มั่นคงทางการเมือง สถานการณ์โลก รวมถึงสงครามต่าง ๆ ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างเด่นชัดว่ามีผลต่อระบบโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้า คือ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลกระทบต่อโรงงานที่ใช้ไทเทเนียมไดออกไซด์ เนื่องจากยูเครนเป็นประเทศหลักในการส่งออก การที่ประเทศส่งออกรายใหญ่เกิดสงคราม และมีกำลังการผลิตไม่เพียงพอ ย่อมกระทบต่อการผลิตสินค้าที่ใช้ไทเทเนียมออกไซด์ไปทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังรวมถึงปัญหาคอขวดของการขนส่งสินค้าทางทะเล ความแออัดของท่าเรือ การขาดแคลนโกดังสินค้า และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบและกฎหมายของแต่ละประเทศด้วย
2. ความเสี่ยงในการดำเนินงาน (Operational Risks)
เป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นภายในองค์กร ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการจัดหาวัตถุดิบคุณภาพเพื่อใช้ในการผลิต การตรวจสอบคุณภาพ การขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะและความชำนาญในการผลิต การโจมตีทางไซเบอร์ รวมถึงกระบวนการซัพพลายเชนที่ขาดประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้การทำงานต้องหยุดชะงักจนอาจสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจได้
3. ความเสี่ยงจากธรรมชาติ (Natural Risks)
เป็นความเสี่ยงทางภัยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว น้ำท่วม หรือการเปลี่ยนแปลงทางสภาพแวดล้อม รวมถึงโรคระบาดอย่างโควิด 19 ที่มีการล็อกดาวน์ปิดเมือง เกิดผลกระทบต่อกระบวนการผลิต การจัดส่งสินค้า ทำให้การจัดการซัพพลายเชนเกิดปัญหา จนขาดแคลนสินค้าและวัตถุดิบตามมา
4. ความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ (Economic Risks)
เป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบในวงกว้างไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเงินเฟ้อ ความต้องการของตลาดที่มีความผันผวน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ทำให้ต้นทุนการนำเข้าวัตถุดิบสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ไปจนถึงนโยบายทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างประเทศ ล้วนแต่ส่งผลต่อกระบวนการจัดการซัพพลายเชนทั้งสิ้น
การจัดการความเสี่ยงในซัพพลายเชนส่งผลกระทบอย่างไร ทำไมธุรกิจจึงต้องให้ความสำคัญ?
ด้วยวิกฤตการณ์ของโลกหลายครั้งที่ผ่านมา ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบในการผลิตสินค้า ไม่สามารถผลิตสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัญหาในการจัดส่งสินค้า ด้วยเหตุนี้ การจัดการความเสี่ยงในซัพพลายเชนที่ครอบคลุม จะสามารถช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้
แนวทางการบริหารจัดการซัพพลายเชนจากความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ
เพื่อให้กระบวนการผลิตและส่งมอบสินค้าไม่เกิดการหยุดชะงัก ผู้ประกอบการจึงต้องมีการจัดการความเสี่ยงด้านซัพพลายเชนในหลากหลายมิติ ดังนี้
1. การบริหารจัดการกับความเสี่ยงระดับโลก
หลายคนอาจจะมองว่า ความเสี่ยงที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบแพร่หลายระดับโลก เป็นความเสี่ยงที่ยากจะควบคุมหรือหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่สามารถบริหารความเสี่ยงได้ โดยมีแนวทางในการบริหารจัดการดังต่อไปนี้
ตัวอย่างเช่น ในกรณีเกิดสงครามระหว่างประเทศ อย่างสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หรือสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นไทเทเนียมไดออกไซด์ รวมถึงปัญหาน้ำมันราคาสูงขึ้น ทำให้ต้องวางแผนความต้องการและจัดการวัตถุดิบจากหลากหลายแหล่ง เพื่อลดความเสี่ยงของการขาดแคลนวัตถุดิบใน Supply Chain
นอกจากนี้ ในกรณีที่ค่าขนส่งสินค้า หรือ Freight มีราคาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งสูง หรือภาวะสงคราม แนวทางการบริหารความเสี่ยงเพื่อลดค่าใช้จ่ายก็คือ การปรับมาใช้วัตถุดิบภายในภูมิภาคเดียวกันมากขึ้น เพื่อทดแทนการขนส่งในระยะไกล โดยให้พนักงานที่อยู่ในแต่ละท้องถิ่นเป็นผู้ประสานงานและบริหารการจัดการ
2. การบริหารจัดการความเสี่ยงในการดำเนินงาน (Operational Risks)
ในกรณีที่ผู้ประกอบการขาดแรงงานที่มีทักษะ หรือไม่มีความเชี่ยวชาญมากเพียงพอ สามารถเลือกใช้บริการพาร์ตเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่าง SCG International ที่พร้อมให้บริการด้าน End to End Supply Chain และให้คำปรึกษาในด้านการผลิต ยกตัวอย่าง เคส SCG International เข้าไปช่วยสนับสนุนความรู้และเทคโนโลยีให้แก่บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์อันดับ 1 ในประเทศบังกลาเทศอย่าง Shah cement ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิต แต่ยังคงรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์เอาไว้เช่นเดิม ซึ่งในระยะยาวจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
3. การบริหารจัดการความเสี่ยงจากธรรมชาติ ( Natural Risks)
แน่นอนว่าเราไม่สามารถหยุดภัยธรรมชาติหรือโรคระบาดที่เกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถวางแผนและสร้างความยืดหยุ่นในการรับมือได้ ดังต่อไปนี้
ตัวอย่างการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์เมือง ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงัก รวมถึงการส่งวัตถุดิบ ทำให้ไลน์การผลิตได้รับผลกระทบต่อเนื่อง แต่หากมีการคาดการณ์สถานการณ์เอาไว้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้าย รวมถึงคำนวณความต้องการของวัตถุดิบ และจัดหาวัตถุดิบจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วโลกอย่างเหมาะสม ผนวกกับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการแบบเรียลไทม์ ก็จะช่วยให้การผลิตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะสามารถทำได้ จำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายซัพพลายเชนของบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ยาวนาน
4. การบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจ (Economic Risk)
ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ที่เกิดจากผลกระทบของนโยบายเศรษฐกิจในประเทศมหาอำนาจ ไปจนถึงการที่ค่าเงินมีความผันผวน ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนสินค้าโดยตรง
ตัวอย่างในกรณีที่ค่าเงิน หรือค่าน้ำมันมีความผันผวน ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น สามารถบริหารจัดการได้ด้วยการปรับปรุงกระบวนการโลจิสติกส์แบบครบวงจร โดยสินค้าบางประเภท สามารถพิจารณาปรับเปลี่ยนรูปแบบการขนส่ง จากการส่งแบบตู้คอนเทนเนอร์ เป็นการขนส่งสินค้าแบบเทกอง (Bulk Cargo) ซึ่งการปรับเปลี่ยนในรูปแบบนี้ ซัพพลายเออร์ต้องมีความยืดหยุ่นสูง เช่น ต้องมีการปรับ Packing ให้เหมาะกับการขนส่งแบบเทกอง (Bulk Cargo) รวมถึงต้องมีการคำนวณจำนวนชั้นสูงสุดที่จะสามารถวางซ้อนสินค้าโดยไม่เกิดความเสียหาย เพื่อสามารถจัดวางได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้
บริหารความเสี่ยงด้วยบริการ End-to-End Solution
จาก SCG International
จาก SCG International
SCG International ผู้นำด้านการให้บริการด้านการจัดการซัพพลายเชนระดับโลก ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า 45 ปี ทำให้มีความเข้าใจในอุตสาหกรรมต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง โดยจะเข้าไปช่วยเหลือพาร์ตเนอร์ในส่วนต่าง ๆ ดังนี้
ในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยงมากมาย การเลือกใช้บริการจาก SCG International บริษัท End-to-End Supply Chain Service Provider สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการบริหารจัดการซัพพลายเชน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการ ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มความได้เปรียบด้านการแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากว่าคุณกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่ช่วยยกระดับธุรกิจ และพร้อมสนับสนุนให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จทั้งในระดับประเทศและในระดับโลก เรามีโซลูชันที่ช่วยลดความเสี่ยงในซัพพลายเชนที่พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน ติดต่อเราเพื่อขอรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญได้เลย
SCG International Corporation
ด้วยประสบการณ์ด้านการซื้อขายวัตถุดิบระหว่างประเทศ กว่า 45 ปี เราได้พัฒนาความเชี่ยวชาญอย่างลึกซึ้งในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่วัตถุดิบอุตสาหกรรม วัสดุก่อสร้าง สินค้าบ้านและที่อยู่อาศัย กระดาษและบรรจุภัณฑ์ อาหารและเครื่องดื่ม วัสดุรีไซเคิล ไปจนถึงพลังงาน ความรู้ที่กว้างขวางนี้ทำให้เราเป็นพันธมิตรที่น่าเชื่อถือด้านซัพพลายเชนระดับโลก ทำให้สามารถให้ข้อมูลตลาดเชิงลึกที่มีประโยชน์และเชื่อถือได้ ผ่านการนำเสนอบทความที่รวบรวมมาจากประสบการณ์อันยาวนาน ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าจะสามารถจัดการกับความซับซ้อนของซัพพลายเชนได้อย่างมั่นคง